

สมาคมฟันดาบฯของเราจะเป็นสังคมธรรมาภิบาลได้หรือไม่
ลองพิจารณาจากแนวทางการประเมินผลเพื่อคัดเลือกผู้ฝึกสอน ของกัปตันสุทธิพงษ์ฯ
ดูนะครับ มีรายละเอียดดังนี้
1. ให้ประเมินท่าที ทัศนคติ
และความรู้สึกต่อสมาคมฟันดาบ ผู้ร่วมงานในสมาคมฟันดาบ
2. ให้ประเมินจาก บุคลิกภาพ
และคุณลักษณะความประพฤติเฉพาะตัว ประสบการณ์ชีวิตที่สะสมมา
ซึ่งจะสะท้อนถึงความนึกคิด ทัศนคติ และความประพฤติเฉพาะตัวซึ่งแก้ไขได้ยากมาก
ท่าทางการแสดงออก ได้แก่ การแต่งกาย ทรงผม ลักษณะที่ปรากฏต่อสาธารณชน ฯลฯ
3. ให้ประเมินจากความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการฟันดาบเซเบอร์
กกและกติกาโดยละเอียด การเข้าทำ การรับตอบ และกฎระเบียบของสมาคม ฯลฯ
4. ให้ประเมินจากภาษาคือ
ต้องมีความรู้ภาษาอังกฤษในขั้น การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
ในระดับที่ใช้การได้ดี
5. ให้ประเมินจากความสามารถและประสบการณ์ในการแข่งขันดาบเซเบอร์
และผลงานที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นจะเป็นของตนเองหรือผู้ฝึกสอนผู้อื่น
6. ให้ประเมินจากความสามารถในการวางแผนการฝึกซ้อมนักกีฬา
การแบ่ง Workload ของนักกีฬา การแก้เกมส์
การวิเคราะห์คู่ต่อสู้ การวางแผนงานในการนำนักกีฬาเข้าสู่การแข่งขัน การใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาช่วยเหลือในการทำงาน
การวางแผนระยะ 1 2 3 และ 4 ปี
และการวัดผลด้วยการแข่งขันในรายการสำคัญต่างๆ
7. ให้ประเมินจากการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และวินัยของสมาคมฟันดาบฯ
8. ให้ประเมินจากการให้ความร่วมมือกับสมาคมในการเป็นอาสาสมัครต่างๆ
กับสมาคม การเคยเป็นโค้ชให้กับสมาคมฟันดาบฯ มาก่อน
การเปิดใจกว้างสามารถให้การสอนกับนักกีฬาทุกชมรม ไม่เฉพาะชมรมในสังกัด
9. ให้ประเมินจากความคิดริเริ่ม
รับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมงาน
10. ให้ประเมินจากการเป็นผู้นำ
และความรับผิดชอบ สามารถที่จะรับผิดชอบ สามารถที่จะรับมอบงานจากสมาคม
และนำพาไปสู่ความสำเร็จ
11. ให้ประเมินจากผู้ที่มีอายุที่สามารถเป็นโค้ชได้นานพอสมควร
การให้คะแนน ควรมี 5 ระดับ A คือ ระดับยอดเยี่ยม B คือ เหนือมาตรฐาน C คือ มาตรฐาน
D คือ ผ่านเกณฑ์อย่างเฉียดฉิว E คือ
ต่ำกว่ามาตรฐาน
หากประเมินแล้วได้ D สองตัว หรือได้ E หนึ่งตัวเป็นผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์
ส่วนผู้ผ่านเกณฑ์แล้วจะต้องผ่านการฝึกการเตรียมพร้อมก่อนเข้ารับการอบรมด้วย
จากแนวทางข้างต้น ลองเอาหลักธรรมาภิบาลทั้ง 6 หลักมาจับดู ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
หลักนิติธรรม คือ การตรากฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกติกาต่าง ๆ
ให้ทันสมัยและเป็นธรรม ตลอดจนเป็นที่ยอมรับของสังคมและสมาชิก
โดยมีการยินยอมพร้อมใจและถือปฏิบัติร่วมกันอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม กล่าวโดยสรุป
คือ สถาปนาการปกครองภายใต้กฎหมาย มิใช่กระทำกันตามอำเภอใจหรืออำนาจของบุคคล
อ่านแล้วก็ตอบได้เลยว่า ใช่เลย ครับ ผู้อ่านเห็นด้วยมั้ยครับ
หลักคุณธรรม คือ การยึดถือและเชื่อมั่นในความถูกต้องดีงาม โดยการรณรงค์เพื่อสร้างค่านิยมที่ดีงามให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรหรือสมาชิกของสังคมถือปฏิบัติ
ได้แก่ ความซื่อสัตย์สุจริตความเสียสละ ความอดทนขยันหมั่นเพียร ความมีระเบียบวินัย
เป็นต้น
หากเราดูจากข้อ 2 8 9 และ10 ในแนวทางการประเมินผลเพื่อคัดเลือกตัวผู้ฝึกสอน อันนี้
จะเป็นการผลักดันผู้ที่ผ่านเกณฑ์นี้ เป็นบุคคลที่มีคุณธรรม จากแนวคิดจิตอาสา
รึเปล่าลองพิจารณาดู แต่ผมว่าใช่เลย
หลักความโปร่งใส คือ การทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา
และสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยการปรับปรุงระบบและกลไกการทำงานขององค์กรให้มีความโปร่งใสมีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารหรือเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้สะดวก
ตลอดจนมีระบบหรือกระบวนการตรวจสอบและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพซึ่งจะเป็นการสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
และช่วยให้การทำงานของภาครัฐและภาคเอกชนปลอดจากการทุจริตคอรัปชั่น
อันนี้ใช่เลย เพราะ มีการแจ้งให้กรรมการทราบในที่ประชุม รวมทั้ง
ประกาศบน เวบ
เพื่อให้ประชาชนชาวดาบได้รับรู้ด้วยเพื่อเตรียมตัวเข้ารับการคัดสรรในอนาคต
หากยังใช้แนวทางนี้
หลักความมีส่วนร่วม คือ การทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้
และร่วมเสนอความเห็นในการตัดสินใจสำคัญ ๆ ของสังคม
โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนมีช่องทางในการเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ การแจ้งความเห็น
การไต่สวน สาธารณะ การประชาพิจารณ์การแสดงประชามติ หรืออื่น ๆ
และขจัดการผูกขาดทั้งโดยภาครัฐหรือโดยภาคธุรกิจเอกชน
ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสามัคคีและความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน
ตามหลักนี้ ผมได้เคยเรียนให้ผู้อ่านทราบแล้วใน วิจารณ์การสัมมนาฟันดาบ 30 ส.ค.52 ว่า การประกาศในเวบเพื่อให้ประชาชนชาวดาบทราบสอดคล้องใน ระดับที่ 1
การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ
ของหน่วยงานภาครัฐ (To Inform) เป็นระดับที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนน้อยสุด
ถ้าให้ดี ควรจะถึง ระดับ 5 การเสริมอำนาจประชาชน (To
Empower) ในวันสัมมนา ซึ่งพวกเราก้ได้คำตอบแล้วว่า
หลักความรับผิดชอบ ผู้บริหาร ตลอดจนคณะข้าราชการ ทั้งฝ่ายการเมืองและข้าราชการประจำ
ต้องตั้งใจปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่อย่างดียิ่ง โดยมุ่งให้บริการแก่ผู้มารับบริการ
เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ มีความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในหน้าที่การงานที่ตนรับผิดชอบอยู่
และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที
อันนี้ก็ใช่อีกหละ หากผู้บริหารไม่มีหลักนี้
ก็ไม่ออกแนวทางการประเมินผลเพื่อคัดเลือกตัวผู้ฝึกสอน อันนี้มาแน่นอน ใช่หรือไม่
หลักความคุ้มค่า ผู้บริหาร ต้องตระหนักว่ามีทรัพยากรค่อนข้างจำกัด
ดังนั้นในการบริหารจัดการจำเป็นจะต้องยึดหลักความประหยัดและความคุ้มค่า
ซึ่งจำเป็นจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายไปที่ผู้รับบริการหรือประชาชนโดยส่วนรวม
หลักนี้หละใช่เลยการคัดสรรบุคคลากรภายใต้ ทรัพยากรที่จำกัด
เป็นไปด้วยความประหยัด และคุ้มค่า และมุ่งหมายให้ประชาชนชาวดาบ
ได้รับบริการและประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง ประเมินผลเพื่อคัดเลือกตัวผู้ฝึกสอนนี้
ผลที่ปรากฏสรุปได้ว่าเข้าหลักธรรมาภิบาล
และหากเราใช้แนวทางที่เป็นธรรมในลักษณะนี้ กับสังคมของเรา
แล้วจะเป็นแนวทางหนึ่งในการผลักดันให้พวกเราเข้าสู่สังคมธรรมาภิบาลได้อย่างแน่นอน
ท่านผู้อ่านเห็นด้วยรึเปล่าครับ ? หากมีความเห็นแตกต่าง หรือ มีข้อเสนอแนะคุยกับผมได้ที่ s_montree8932@yahoo.com