

เกาะลูกกรงดูดาบ ผมเมื่ออายุได้ประมาณ 13 ปี ผมพร้อมกับพี่ชายคือ
พ.อ.จักราวุธฯ และน้าชาย พล.ต.บรรเจิด เทียนทองดี
เราสามคนมักไปเล่นฟุตบอลแถวสนามกีฬากองทัพบก ระหว่างทางพวกเราก็มักจะแวะดูพวกนักดาบสมัยนั้นเล่นดาบอยู่บริเวณใต้ถุนสนามกีฬากองทัพบกด้านทิศตะวันออกใกล้กับประตูทางเข้า
พวกเขาเล่นกันประมาณ 5 คน
ผมจำกัปตันสุทธิพงษ์และพี่เริงยศได้เป็นอย่างดี พวกพี่ๆ
เล่นดาบได้สวยงามและรวดเร็วมาก เรียกว่าประทับใจพวกเราคนดูเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงเสียงของอาจารย์ภูมิเท่านั้นที่ดุดันมาก
เราเด็กๆ จึงไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามมากนักได้แต่เกาะลูกกรงดูการฟันดาบและฝึกซ้อมของพวกเขา
เราสามคนไม่มีใครรู้จักนักดาบที่นั่นแม้แต่คนเดียว
แต่เราก็มีความประทับใจมากในลีลาการเล่นของพวกเขา และไม่นานน้าชายผมก็สามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่
15 ได้ ตามมาติดๆ
ด้วยการสอบเข้าของพี่ชายผมเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 16 ซึ่งต่อมาพวกเขาก็ได้กลายเป็นนักดาบเซเบอร์และเอเป้ชั้นนำของทีมฟันดาบโรงเรียนนายร้อย
ในขณะที่ผมก็ยังเรียนอยู่ที่สามเสนวิทยาลัย แต่ผมก็ยังแวะเวียนไปดูการเล่นรักบี้และการฟันดาบของเหล่าทัพที่สนามกีฬากองทัพบกเป็นประจำ
กีฬาทั้งคู่นี่มันสุดขีดเลยครับ
ทั้งเสียงเชียรและเสียงโฮ่ร้องอันกึกก้องทั่วทั้งสนาม และแล้วไม่นานผมก็ได้เห็นน้าชายของผมคือ
พล.ต.บรรเจิดฯ ตัวแทนโรงเรียนนายร้อยแข่งกับ พล.ร.ต.อนันท์ สุขณียุทธ แข่งกันที่ในลูกกรงใต้ถุนสนามกีฬากองทัพบกที่เดิม (นักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 14 ปัจจุบันเป็นประธานชมรมฟันดาบกองทัพเรือ)
ทั้งสองสู่กันอย่างมันหยดด้วยเล่ห์เลี่ยมที่แพรวพราวทั้งคู่
ผมรู้จักน้าชายผมดีว่าเป็นคนฉลาดมาก เพราะเรามักจะเล่นหมากรุกแข่งกันเสมอ
และผมก็มักพลาดพั้งในบั่นปลายทั้งที่เป็นฝ่ายรุกโดยตลอด
เพราะเขามีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ การลวง ซึ่งผมก็มี
แต่มักไม่เก่งเท่าที่เขา ในการแข่งขันแมทช์นั้น น้าชายของผมเล่นกับ พล.ร.ต.อนันท์ฯ
อย่างสูสีมากทั้งคู่ก็ไว ผมก็ไม่รู้ว่า พล.ร.ต.อนันท์ฯ เก่งมากแค่ไหน แต่ผมมาทราบในภายหลังว่า
พล.ร.ต.อนันท์ฯ เป็นหัวหน้านักเรียนนายเรือมีความฉลาดเป็นเยี่ยมเช่นกัน
ซึ่งเดี๋ยวผมจะได้กล่าวถึงประวัติของพี่เขาต่อไป
ในที่สุดน้าชายผมแพ้อย่างสูสีและเป็นที่น่าสงสัย
เพราะว่าการฟันดาบเซเบอร์สมัยนั้นใช้ตาคนดู จึงเป็นการง่ายที่จะเกิดความผิดพลาดในการตัดสิน
ผมนึกในใจเสมอมาว่าผมต้องเป็นนักดาบเซเบอร์ให้ได้เพราะเกมส์มันสนุกและใช้ความคิดไม่ต่างอะไรกับการเล่นหมากรุกที่มีทั้งการลวง
การใช้จิตวิทยากับคู่ต่อสู้ ในระหว่างนี้ผมก็เริ่มเห็นพี่ชายของผมแข่งขันดาบเอเป้
ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจดาบเอเป้มากนัก พี่ชายของผมแกเป็นนักกีฬามาตลอดชีวิต
เคยเป็นนักบาสเก็ตบอลมาก่อนเข้าโรงเรียนเตรียมทหารแต่ตอนอยู่โรงเรียนนายร้อยแกชอบดาบ
คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผมนี่แหละ
Join the Fencing สามปีต่อมา
ผมสามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 19
ผมตั้งความหวังว่าผมจะต้องเป็นนักดาบเซเบอร์ให้ได้แต่โรงเรียนเตรียมทหารสมัยนั้นไม่มีการเล่นดาบ
จนกระทั่งผมเข้าสู่อ้อมอกโรงเรียนนายเรือ ผมจึงได้เล่นฟันดาบเป็นครั้งแรกโดยมี
ร.ต.อนันท์ สุขณียุทธ์ในสมัยนั้น เสียเวลามาฝึกสอนให้ผมที่โรงยิมส์โรงเรียนนายเรือ
นอกจากนั้นแล้ว พี่เริงยศ ยังแวะเวียนมาสอนให้ผมด้วย ผมยังทราบซึ้งไม่หาย
เพราะว่าพี่เขาต้องเสียสละเวลาอย่างมากในการเดินทางมาสอนไกลถึงโรงเรียนนายเรือ
ในห้วงเวลานั้นผมก็ไม่เคยได้แข่งขันเลยจนกระทั่งถึงปี 3 ผมฝึกอย่างเอาจริงเอาจังจนกระทั่ง
วันหนึ่งพี่ชายผมได้ให้ความช่วยเหลือในการจัดการแข่งขันกีฬาเหล่า
(อันเป็นกุศโลบายอันหนึ่งในการเผยแพร่ฟันดาบให้เป็นที่แพร่หลายในโรงเรียนทหารตำรวจ)
เป็นครั้งแรกที่โรงเรียนนายเรือเป็นเจ้าภาพ ซึ่งเราก็ยังไม่เคยจัดมาก่อน
ผมจำได้ว่าในครั้งนั้นผมเริ่มรู้จักกับ พ.อ.ชาญชัย ฯ ตั้งแต่นั้นมา ในการแข่งขันครั้งนั้น ผมอยู่ในทีมดาบเซเบอร์ ของโรงเรียนนายเรือ
โดยมีรุ่นพี่รุ่น 15 และน้องรุ่น 21 อีกคน
ปรากฏว่าเป็นครั้งแรกที่ทีมดาบของนายเรือสามารถพิชิตทีมดาบโรงเรียนนายร้อย
นายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจอย่างราบคาบ
ในปีต่อมาก็มีการแข่งขันกีฬาเหล่าทัพอีก คราวนี้จัดที่โรงเรียนนายร้อย
จปร.ที่ปัจจุบันเป็นที่ทำการของกองทัพบกไปแล้ว ผมลงแข่งทั้งดาบเซเบอร์และเอเป้
ซึ่งผมก็คว้าเหรียญทองเซเบอร์มาได้อีก และส่วนเอเป้นั้น
ผมก็ได้รู้จักกับคู่แข่งตัวฉกาจของผม พ.อ.ไตรจักรฯ แต่ผมก็อาศัยความไวกว่าเอาชนะ
พ.อ.ไตรจักรฯ มาได้ทำให้ผมได้ทั้งเหรียญทองเซเบอร์และเอเป้พร้อมกัน
ซึ่งสร้างความแค้นระหว่างไตรจักรกับผมไว้มากนะครับ ซึ่งผมจริงๆ แล้วผมไม่ทราบแต่
พ.อ.ไตรจักรฯ มาบอกผมในภายหลัง ผมมาประทับใจการฟันดาบอีกครั้งเมื่อมีการจัดการแข่งขันฟันดาบในเอเชียเกมส์ที่กรุงเทพ
ณ สนามกีฬาโรงเรียนนานาชาติ โอมันสวยงามและยิ่งใหญ่มากสำหรับผม
ตอนนั้นผมได้เห็นพี่ชายของผมเล่นให้กับทีมชาติไทยครับมันน่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
ผมเห็นพี่สุทธิพงษ์ และพี่เริงยศ ในการแข่งขันนั้นด้วย
อุดมศึกษา นอกจากการแข่งขันในกีฬาเหล่าแล้ว
ผมยังได้ลงแข่งขันในกีฬาอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วย
แมทช์นั้นสนุกมากเพราะเป็นแมทช์ที่เราไปแข่งกับพลเรือนเป็นครั้งแรก
ผมลงแข่งในดาบเซเบอร์แล้วผมทะลุเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ และมาพบกับคุณ ครก (ยงยุทธ หวังไพบูลย์กิจครับ-ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น อธิยุทธ) ซึ่งตัวใหญ่มาก การฟันของเขาก็รุ่นแรงไม่แพ้ผมเลย
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีเทคนิคในการฟันแบบดาบไทยด้วย ผมคว้าชัยชนะในการแข่งขันครั้งนั้นไปได้อย่างหวุดหวิดครับ
ซึ่งตอนหลังคุณครกก็เข้าสู่ทีมชาติไทยไป ส่วนผมก็เลิกเล่น
นอกจากในแมทช์นั้นผมลงแข่งเซเบอร์แล้วผมยังลงแข่งเอเป้ด้วยครับ ผมสูงเพียงร้อย 170
เท่านั้น แต่คู่ต่อสู้ผมสูง 180 กว่า
ช่วงเขายาวมาก ผมจำชื่อไม่ได้คร้บแต่รู้ว่าภายหลังเขาก็ติดทีมชาติไปเช่นกัน
ผมอาศัยความไว
แต่เขาอาศัยทั้งความไวและยาวซึ่งเขาได้เปรียบกว่าผมมาก
ดังนั้นผมจึงได้ค้นคิดวิธีการจับดาบแบบใหม่โดยใช้เพียงปลายนิ้วเท่านั้นทำให้ผมสามารถต่อยื่นความยาวไปอีกเกือนครึ่งฟุต
แล้วผมก็ใช้วิธีถลาเข้าทำอย่างรวดเร็ว
ผลปรากฏว่าผมสามารถทำแต้มได้คู่คี่กับเขามากจนกระทั่งแต้มสุดท้าย
เขารู้ว่าผมจับดาบไม่มั่นคงเขาตีดาบผมหลุดมือเลยครับแล้วผมก็แพ้เขาไปในที่สุดและคว้าเหรียญทองแดงเอเป้ไป
ซึ่งคราวนั้น น.อ.วรภพฯ ก็ได้ชิงชัยกับนักดาบรามคำแหงผู้นี้จนมันหยด จนวรภพฯ
ชนะไปอย่างสูสีทีเดียว
Navy Open I จากนั้นผมก็เลิกเล่นกีฬาฟันดาบเลยครับเพราะว่าเครื่องมือฟันดาบแพงมากหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพก็คงเล่นไม่ได้
เมื่อผมจบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือผมก็เลิกเล่นเลยครับ
อย่างไรก็ตามเมื่อผมไปศึกษาปริญญาโทด้าน Telecommunication ที่
Naval Postgraduate School ณ ประเทศสหรัฐฯ ผมก็ได้พบกับ
ร.อ.อนันท์ฯ ที่นั่นครับ พี่เขาเรียนทางด้าน Mechanical Engineering ส่วนผมเรียนทางด้าน MS.EE หรือ Master in
Electrical Engineering สาขา Telecom พี่เขาเรียนเก่งมากครับ
ผมกับพี่อนันท์ฯ จึงได้รู้จักคุ้นเคยกันที่นั่น แต่โลกมันกลมครับ ผมไปพบกับพี่อีกที่ที่ผมไปเป็นกรรมการตรวจการจ้างเรือหลวงจักรีนฤเบศร์ที่ประเทศสเปนอีกเป็นระยะเวลา
2 ปีเต็ม หลังจากกลับมาน้องๆ
เขาอยากให้ผมไปเป็นเลขาธิการฟันดาบของชมรมกองทัพเรือ ซึ่งน้องๆ หลายคนเขาเก่งมาก
เช่น นันทพลฯ สุรชัยฯ สมพลฯ ปรีชาฯ มนตรีฯ
ผมจึงตัดสินใจจัดการแข่งขัน Navy Open เป็นครั้งแรก
โดยมีท่านนายกปัจจุบันเป็นประธานชมรมดาบของกองทัพเรือ
ไม่น่าเชื่อครับว่าการจัดในครั้งนั้นแม้ว่าจะประสบกับปัญหาในหลายด้านแต่ก็จัดงานได้อย่างเยี่ยมยอดทีเดียว
งานนั้นผมก็ทำให้ผมเรียนรู้ในหลายสิ่ง ว่าการจัดงานใหญ่ๆ อย่างนี้หากไม่มีสปอนเซอร์แล้วนอกจากจะไม่ได้เงินมาบริหารชมรมแล้วยังอาจต้องควักเนื้อตัวเองดัวย
แต่เราโชคดีที่มีครูสมเดช ฯ
ท่านช่วยหาสปอนเซอร์ทำให้เราสามารถจัดเลี้ยงอาหารกลางวันทุกมื้อ
และสามารถจัดงานเลี่ยงใหญ่โดยที่เรายังมีเงินเหลือสำหรับใช้ในการบริหารชมรมของกองทัพเรืออีกด้วย
ดังนั้นผมจึงคิดว่าการจัดรายการแข่งขันหากจัดได้ดีมีการวางแผน
รับรองได้เงินมากพอที่จะบริหารชมรมของท่านไปได้ทั้งปีทีเดียว
วางมืออีกครั้ง หลังจากการจัดครั้งนั้นผมก็ขอวางมืออีกเพื่อให้น้องๆ
เขาได้มีโอกาสทำงานตามความฝันของพวกเขาโดยผมจะดูแลห่างๆ ซึ่งพวกน้องๆ
ก็บริหารชมรมได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นผมก็ได้มีโอกาสไปศึกษาต่างประเทศอีกครั้ง ณ
ออสเตรเลียเป็นเวลาเกือบสองปี ตอนแรกกะว่าจะไปดูการฟันดาบที่มหาวิทยาลัย
Australian National University (ANU) ที่นครแคนเบอร์ล่าซะหน่อย
แต่ที่ไหนได้การเรียนที่ออสเตรเลียคือที่วิทยาลัยป้องกันประเทศออสเตรเลีย (Centre
for Defense Strategic Studies) นี่มันหนักมากเพราะจะต้องเขียน Paper
เป็นภาษาอังกฤษเป็นหลายหมื่นคำ ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการเข้าชมรมฟันดาบที่นั่นแพงมาก
ผมจึงงดการมีส่วนร่วมกับชมรมฟันดาบของมหาวิทยาลัย แต่อย่างไรก็ตาม ผมได้เห็นการกีฬาโดยทั่วไปของออสเตรเลียพบว่า
พวกเขานี่บ้ากีฬาเอามากๆ ครับ ทุกศุกร์มีการถ่ายทอดฟุตบอล ตลอดทั้งคืนเลย
คนส่วนใหญ่เขาก็นิยมไปดูฟุตบอลออสเตรเลียกัน แทบทุกตำบลในกรุงแคนเบอรล่านี่มีสนามรักบี้ฟุตบอลที่กว้างขวางมาก
เรียกว่า Community Sport เขาแข็งแรงจริงๆ
และออสเตรเลียนี่แม้ว่าจะมีประชาชนน้อยเพียง 20 ล้านคน
แต่ก็มีนักกีฬาที่โดดเด่นจำนวนมากครับ
การเปลี่ยนแปลงสมาคม สุดท้ายหลังจากผมกลับมาจากออสเตรเลียเพียงสองสามวัน น.อ.นันทพลฯ
มาพบบอกว่าเราน่าจะเปลี่ยนแปลงวงการฟันดาบของสมาคมเนื่องจากในระยะนั้นสมาคมฟันดาบมีปัญหามากจากหลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องปัญหากับนักดาบทีมชาติไทยของเรา
ผมจึงได้นำเรื่องไปปรึกษากับบรรดาพี่ๆ ที่เคยรู้จักกันไม่ว่าจะเป็นพี่ชาติชายฯ
กับตันสุทธิพงศ์ฯ พี่เริงยศฯ พ.อ.จักราวุธฯ พ.อ.ชาญชัยฯ พ.อ.ไตรจักรฯ
คุณสันติ พี่จำรัส และคุณแม่ของนนทพัฒน์ฯ พวกเขาก็เห็นด้วยว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงวงการฟันดาบให้ได้
เราจึงเสนอให้ พล.ร.อ.สมเดช ทองเปี่ยม รอง ผู้บัญชาการทหารเรือ
ลงสมัครแข่งขันกับนายกในสมัยนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่คาดคิดว่าคะแนนมันจะสูสีขนาดนั้น
แต่ด้วย พล.ตรี ชาติชายฯ ที่เป็นประธานฯ ในที่ประชุมเราจึงชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้นมาได้
หลังจากประสบความสำเร็จนี้แล้วผมก็กะว่าจะหันกลับไปทำงานวิจัยให้กับสำนักสนับสนุนงานวิจัยต่อไป
แต่จนแล้วจนรอด พ.อ.จักราวุธฯ
ก็อยากให้ผมมาช่วยวางรากฐานให้กับสมาคมฟันดาบโดยเฉพาะในการวางกลยุทธ์ระยะไกล
ประกอบกับผมเห็นหลายคนเสียสละทั้งเวลาและเงินทองอย่างมากมาทำงานให้กับสมาคม
โดยเฉพาะ พ.อ.จักราวุธฯ ผมจะหนีไปก็ไม่สมควร ดังนั้น
ผมจึงต้องยอมรับช่วยเหลือสมาคมในหน้าที่รองเลขาธิการฟันดาบ โดยหลักๆ ก็คือ
รับผิดชอบในการวางกลยุทธระยะยาวนั้นเอง อีกทั้งแนวคิดของนายกสมาคมที่ต้องการให้มวลสมาชิกได้มีส่วนร่วม
จึงให้ผมรับผิดชอบในการจัดสัมมนาเชิงยุทธศาสตร์ใน 30 ส.ค.52
ที่ผ่านมา
ซึ่งก็ถือว่าเราประสบความสำเร็จอย่างมากอย่างคาดไม่ถึงทีเดียว โดยเฉพาะการที่
ผศ.วันชัย รัตนวงษ์
นักวางกลยุทธ์ระดับชาติมาช่วยวางยุทธศาสตร์ให้เราด้วยอย่างเต็มที่
แล้วอย่างนี้วงการฟันดาบมันจะไม่ก้าวกระโดดหรือครับ?
สิ่งที่ผมได้เล่ามาก็เป็นเพียงตอนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงวงการฟันดาบเท่านั้น
และก็หวังอย่างยิ่งว่ามวลสมาชิกจะได้ให้การไว้วางใจในสมาคมฟันดาบฯ
ในการเปลี่ยนทิศหัวเรือ ไปสู่ความเป็นเลิศ โดยมี พล.ร.อ.สมเดช ฯ
เป็นผู้บังคับการเรือลำนี้ ส่วนพวกเราก็เป็นนายทหารในเรือที่ร่วมกันบังคับเรือลำนี้มุ่งเข็มสู่ความเป็นเลิศในที่สุดครับให้ได้ครับ